สมัยกรีก
4 posters
หน้า 1 จาก 1
สมัยกรีก
อารยธรรมโบราณทางภาคพื้น
ยุโรปตะวันออก
เกิดทีหลังภาคพื้นเอเชียตะวันออกซึ่งเกิดขึ้นก่อนคริสต์ศักราช
3,000 ปี
ความเจริญในศิลปวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออกเกิดขึ้นเมื่อ1,000ปีก่อนคริสต์
ศักราช
ความเจริญดังกล่าว
สูงสุดอยู่ที่ประเทศกรีกซึ่งยกย่องดนตรีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์สามารถใช้ในการ
ชำระล้างบาปและมลทินทางใจได้สามารถรักษาบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้
นอกจากนี้ดนตรียังได้รับการยกย่องเป็นศิลปะชั้นสูงควรแก่การศึกษา
[You must be registered and logged in to see this image.]
วัฒนธรรมตะวันตกถูกผูกติดอยู่กับชาวกรีกโบราณและชาวโรมันอย่างปฎิ
เสธไม่ได้ความสมบูรณ์ความยอดเยี่ยมของความสวยงาม
และศิลปะมีต้นกำเนิดจากกรีก รวมทั้งทางปรัชญาของกรีก
ประวัติของดนตรีกรีกโบราณตั้งแต่เริ่มต้นถึง 330 ปี
ก่อนคริสต์กาล(330 B.C;)
เมื่อ วัฒนธรรมของกรีกแยกเป็น 2 สาย กล่าวคือ
สายที่ 1 ทางตะวันออก (Alexander the Great) และสายที่ 2
ทางตะวันตก (ตามชาวโรมัน)
นอกจากนี้ดนตรีกรีกยังแบ่งออกเป็นยุดต่าง ๆ ได้ดังนี้
ทางตรงกันข้ามคือสื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึกโครม
สนุกสนาน ความลึกลับ และความมืด เทพนิยายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีคือ
บรรดาเทพ 9 องค์ เป็นธิดาของเทพเจ้าซีอุส
ซึ่งเป็นเทพประจำสรรพวิทยาและศาสตร์แต่ละชนิด
[You must be registered and logged in to see this image.]
3.
Archaic Period 700-550 B.C.ศิลปะส่วนใหญ่มีการ
เริ่มต้นขั้นพื้นฐานในช่วงสมัยนี้และได้มีการพัฒนาขึ้นในสมัยคลาสสิกเกิด
ความนิยมรูปแบบกวีนิพนธ์ที่เรียกว่า
“ลีริก” (Lyric) และการแสดงออกจากการระบายอารมณ์ในใจของกวี (Music
expressing
sentiments)ไม่ว่าจะเป็นความยินดี หรือ
ความทุกข์ระทมอันเกิดจากความรัก ความชัง
ความชื่นชมต่อความงามของฤดูใบไม้ผลิ
ความประทับใจในความงามของค่ำคืนในฤดูร้อนหรือความสำนึกส่วนตัวของกวีที่มี
ต่อสังคม
ต่อชาติรวมความแล้ว
กวีนิพนธ์แบบลีริก(Lyric)นี้เอื้อให้กวีได้แสดงความรู้สึกส่วนตนได้อย่าง
เต็มที่
การร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์
(Dithyramb)
เป็นเพลงที่ใช้บวงสรวงและเฉลิมฉลองให้แก่เทพเจ้าไดโอนิซุสซึ่งเป็นเทพเจ้า
แห่งความอุดมสมบูรณ์เป็นการขับร้องเพลงประสานเสียง
ที่มีต้นกำเนิดโดย
นักร้องชาย 12 คน ต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงโดย Arion
ได้เพิ่มจำนวนนักร้องเป็น
50 คนและกำหนดให้มีนักร้องนำ 1 คน
4.
Classical Period 550-440 B.C.โชไรเลส (Choeriles)
พีนีซุส
(Phrynichus)พาตินุส (Pratinas) และเธสพิส
(Thespis)ได้พัฒนาการร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์
(Dithyramb) กล่าวคือได้มีการร้องเพลง
โต้ตอบกับกลุ่มคอรัสทำให้การแสดงกลายรูปเป็นในลักษณะการสนทนาโต้ตอบกัน
แทนที่จะเป็นการเล่าเรื่องโดยการบรรยายอยู่ฝ่ายเดียว
พวกเขายังช่วยสร้างให้เกิดวัฒนธรรมของกรีกโบราณคือ การละคร (Drama)
เป็นรูปแบบการแสดงที่มีการผสมผสานศิลปะการเต้นรำและดนตรีเข้าด้วยกันได้
อย่างสมดุลย์
ในสมัยนี้ได้มีการสร้างโรงละครกลางแจ้ง
ตั้งอยู่ระหว่างซอกเขาที่มีเนินลาดโอบล้อมอยู่สามด้านเป็นอัฒจันทร์ที่นั่ง
คนดูซึ่งจุคนได้เป็นจำนวนมากและยังเห็นการแสดงได้ชัดเจนไม่มีการบังกัน
อัฒจันทร์คนดูนี้เซาะเป็นขั้นบันไดสูงขึ้นไปตามไหล่เขาที่ลาดชันโดยโอบล้อม
บริเวณที่ใช้แสดงเป็นพื้นที่ราบอยู่ต่ำลงไปเป็นรูปวงกลมหรือครึ่งวงกลม
ซึ่งเรียกบริเวณว่า ออร์เคสตรา (Orchestra)
ใช้เป็นที่แสดงของพวกคอรัสซึ่งยังคงความนิยมติดมากับการแสดง
[You must be registered and logged in to see this image.]
5.
Hellinistic Period 440-330
B.C.ลักษณะของการละครสมัยนี้เริ่มไม่ได้รับความนิยม
เนื่องจากว่ามีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ
เข้ามาซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการละคร
ในสมัยนี้ศิลปะและบทประพันธ์ร้อยกรองต่าง ๆ
มีการพัฒนาแยกออกจากดนตรีมีนักปราชญ์ทางดนตรีหลายคน
การค้นพบกฎพื้นฐานของเสียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาและคณิตศาสตร์
ซึ่งนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์นามกระเดื่องของกรีกคือ ไพธากอรัส
(Pythagoras)
เป็นผู้วาง กฎเกณฑ์ไว
โดยการทดลองเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนของเสียงจากความสั้น
- ยาวของสายที่ขึงไว้
ไพธากอรัสค้นพบวิธีที่จะสร้างระยะขั้นคู่เสียงต่าง
ๆ รวมทั้งระยะขั้นคู่ 8 ซึ่งเป็นหลักที่สำคัญของ
บันไดเสียงของดนตรีตะวันตก นักคิดรุ่นต่อ ๆ
มาได้พัฒนาทฤษฎีดนตรีของกรีกจนได้เป็นระบบที่สลับซับซ้อนที่รู้จักกันในนาม
ของโมด
(Mode)
ซึ่งได้แก่บันไดเสียงทางดนตรีที่ใช้ในการชักจูงให้ผู้ฟังมีความรู้สึกต่าง
ๆ กันออกไป
บันไดเสียงเหล่านี้จึงมีการใช้ในการสร้างสรรค์ดนตรีเฉพาะตามกรณี
จากโมดนี้เองชนชาติกรีกได้พัฒนาหลักการของอีธอส (Doctrine of
ethos)
ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่องของพลังแห่งสัจธรรมของดนตรีโดยกล่าวไว้ว่าพลังของ
ดนตรีมีผลเกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกถึงความชื่นชอบหรือความขัดแย้งกล่าวอีก
นัยหนึ่งคือ
ดนตรีเกี่ยวข้องกับความดีและความชั่วร้าย
โดยทั่วไปโมดสามารถจัดได้เป็นสองจำพวกคือ
โมดที่สื่อถึงความเงียบสงบ มีระเบียบ
ใช้กับพิธีกรรมของเทพเจ้าอพอลโลและโมดที่สื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึก
โครมใช้กับพิธีกรรมของเทพเจ้าไดโอนีซัส
ผลสะท้อนของแนวคิดที่กล่าวถึงนี้ทำให้ดนตรีของกรีกมีทั้งการแสดงออกถึงความ
ซับซ้อนของท่วงทำนองจากการบรรเลงของเครื่องดนตรีล้วน
ๆ ในการแสดงเพื่อการแข่งขันหรือในงานฉลอง
ต่าง ๆ
และดนตรีที่แสดงออกถึงรูปแบบที่มีมาตรฐานซึ่งสัมพันธ์กับการบรรยายเรื่องราว
ตำนานของวีรบุรุษและการศึกษาสำหรับพวกสังคมชั้นสูงที่เต็มไปด้วยปรัชญาอัน
ลึกซึ้งในหนังสือ
Poetics นั้น อริสโตเติล (Aristotle)
ได้อธิบายว่าดนตรีมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์อย่างไรบ้าง
เขากล่าวว่าดนตรีเลียนแบบอารมณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์
ฉะนั้นเมื่อมนุษย์ได้ยินดนตรีซึ่งเลียนแบบอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
ก็จะเกิดมีความรู้สึกคล้อยตามไปด้วยทฤษฎีดนตรีกรีกของ Aristoxenus
กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของทฤษฎีดนตรีในปัจจุบันโดยได้เสนอผลงานระบบเสียงที่
เรียกว่า
เตตราคอร์ด (Tetrachord) 3 ชนิด คือ Diatonic, Chromatic, และ
Enharmonic
โดยเสียงที่อยู่ภายในคู่ 4 เพอร์เฟคจะถูกเรียกว่า Shade
ดังตัวอย่าง
[You must be registered and logged in to see this image.]
ถ้าได้ยินดนตรีที่กระตุ้นอารมณ์ที่ทำให้จิตใจต่ำบ่อย
ๆ
เข้าก็ทำให้เขาพลอยมีจิตใจต่ำไปด้วยตรงกันข้ามถ้ามีโอกาสได้ฟังดนตรีที่ช่วย
ยกระดับจิตใจก็จะทำให้ผู้นั้นเป็นคนที่มีจิตใจสูง
ดังนั้น เปลโตและอริสโตเติล
มีความคิดเห็นตรงกันในข้อที่ว่าหลักสูตรการศึกษาควรประกอบด้วยวิชากีฬาและ
ดนตรีที่ถูกต้อง
เพื่อเป็นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ เปลโตสอนว่า “การเรียนดนตรีอย่างเดียวทำให้อ่อนแอและเป็นคนมี
ปัญหา
การเรียนกีฬาอย่างเดียวทำให้เป็นคนที่อารมณ์ก้าวร้าวและไม่ฉลาด”
ยิ่งกว่านั้นเปลโตยังได้กำหนดไว้ว่า “ดนตรี
ที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาไม่ควรมีลีลาที่ทำให้อารมณ์อ่อนไหวควรใช้ทำนองที่
มีลีลาดอเรียน(Dorian)และฟรีเจียน
(Phrygian)”
[You must be registered and logged in to see this image.]
บันไดเสียงทั้งสองข้างต้นทำให้เกิดอารมณ์กล้าหาญและ
สุภาพเรียบร้อย
เปลโตเชื่อว่าดนตรีมีอำนาจในการที่จะเปลี่ยนนิสัยของมนุษย์จนกระทั่งในบาง
กรณีสามารถรักษาโรคให้หายได้นี่คือทฤษฎีอีธอส
(Ethos) ของดนตรี เปลโตยังเคยกล่าวไว้ว่า
“จะให้ใครเป็นผู้เขียนกฎหมายก็แล้วแต่
ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้แต่งเพลงประจำชาติก็แล้วกัน”
นี่หมายถึงว่า
กฎหมายเพียงแต่กำหนดขอบเขตความประพฤติของคนจากภายนอก
แต่อีธอสของดนตรีสามารถเข้าถึงจิตใจมนุษย์ และคุมนิสัยจากภายในได้
จากการศึกษาหลักฐานต่าง
ๆ สรุปได้ว่าดนตรีกรีกน่าจะเป็นดนตรีเน้นเสียงแนวเดียว (Monophonic
music)
กล่าวคือเน้นเฉพาะแนวทำนองโดยไม่มีแนวประสานเสียง
ทำให้โครงสร้างของทำนองมีความสลับซับซ้อน
ระยะขั้นคู่เสียงที่ใช้จะห่างกันน้อยกว่าครึ่งเสียงได้ซึ่งเป็นลักษณะที่
เรียกว่าไมโครโทน
(Microtones) ดนตรีกรีกมีหลายรูปแบบ นับตั้งแต่ดนตรีที่บรรเลง
ด้วยเครื่องดนตรีล้วน
ๆ ไม่มีการร้องไปจนถึงการร้องบทกวีแต่รูปแบบที่นับว่าสำคัญ ได้แก่
การร้องหมู่
ซึ่งพบได้ในละครของกรีก
ในระยะแรกการร้องหมู่ใช้ในการสรรเสริญพระเจ้าและวีรบุรุษซึ่งมักมีการเต้นรำ
ประกอบเพลงร้องด้วย
เครื่องดนตรีสมัยกรีก
[You must be registered and logged in to see this image.]
Credits : [You must be registered and logged in to see this link.]
ยุโรปตะวันออก
เกิดทีหลังภาคพื้นเอเชียตะวันออกซึ่งเกิดขึ้นก่อนคริสต์ศักราช
3,000 ปี
ความเจริญในศิลปวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออกเกิดขึ้นเมื่อ1,000ปีก่อนคริสต์
ศักราช
ความเจริญดังกล่าว
สูงสุดอยู่ที่ประเทศกรีกซึ่งยกย่องดนตรีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์สามารถใช้ในการ
ชำระล้างบาปและมลทินทางใจได้สามารถรักษาบำบัดโรคภัยไข้เจ็บได้
นอกจากนี้ดนตรียังได้รับการยกย่องเป็นศิลปะชั้นสูงควรแก่การศึกษา
[You must be registered and logged in to see this image.]
วัฒนธรรมตะวันตกถูกผูกติดอยู่กับชาวกรีกโบราณและชาวโรมันอย่างปฎิ
เสธไม่ได้ความสมบูรณ์ความยอดเยี่ยมของความสวยงาม
และศิลปะมีต้นกำเนิดจากกรีก รวมทั้งทางปรัชญาของกรีก
ประวัติของดนตรีกรีกโบราณตั้งแต่เริ่มต้นถึง 330 ปี
ก่อนคริสต์กาล(330 B.C;)
เมื่อ วัฒนธรรมของกรีกแยกเป็น 2 สาย กล่าวคือ
สายที่ 1 ทางตะวันออก (Alexander the Great) และสายที่ 2
ทางตะวันตก (ตามชาวโรมัน)
นอกจากนี้ดนตรีกรีกยังแบ่งออกเป็นยุดต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. Mythical Period จากเริ่มต้นถึง 1,000 ปี ก่อนคริสต์กาล (1,000 B.C.) ในสมัยนี้ได้สูญหายไปในความลึกลับของศาสตร์แห่งเทพนิยายกรีกดนตรีประเภทนี้ ใช้ประกอบพิธีกรรมของลัทธิเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) ผู้เป็นเจ้าแห่งแสงสว่าง ซึ่งรวมถึงความมีเหตุผลและวินัยถือความถูกต้องชัดเจนและการดำเนินชีวิตตาม ทางสายกลาง เครื่องดนตรีที่ใช้ คือ พิณไลร่า (Lyre) | [You must be registered and logged in to see this image.] |
ทางตรงกันข้ามคือสื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึกโครม
สนุกสนาน ความลึกลับ และความมืด เทพนิยายอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีคือ
บรรดาเทพ 9 องค์ เป็นธิดาของเทพเจ้าซีอุส
ซึ่งเป็นเทพประจำสรรพวิทยาและศาสตร์แต่ละชนิด
[You must be registered and logged in to see this image.]
[You must be registered and logged in to see this image.] | 2. Homeric Period 1,000 – 700 (B.C) โฮเมอร์ (Homer) เป็นผู้ก่อตั้งสมัยนี้ และในสมัยนี้มีบทร้อยกรอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชนชาติ เกิดขึ้นจากการเดินทางผจญภัยของโฮเมอร์ ต่อมาบทร้อยกรองหรือ มหากาพย์ของโฮเมอร์ ได้กลายเป็นวรรณคดีสำคัญซึ่งชาวกรีกนำมาขับร้อง ผู้ที่ขับร้องมหากาพย์จะดีดพิณไลร่า (Lyra) คลอการขับร้อง ลักษณะการขับร้องนี้เรียกว่าบาดส์ (Bards) ศิลปินเหล่านี้พำนักอยู่ตามคฤหาสน์ของ ขุนนางถือเป็นนักดนตรีอาชีพ ขับกล่อมบทมหากาพย์โดยใช้ทำนองโบราณซึ่งเป็นท่อนสั้น ๆแต่มีการแปรทำนองหลายแบบ นอกจากนี้ยังมีดนตรีพื้นเมือง (Folk songs) ซึ่งมีลักษณะเป็นเพลงของพวกเลี้ยงแกะที่เป่า Panpipes (เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งคล้ายแคน) เพื่อกล่อมฝูงแกะและยังมีดนตรีของชาวเมืองในลักษณะของคณะนักร้อง (Chorus) ขับร้องเพลงในพิธีทางศาสนาต่าง ๆ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีศพ ฯลฯ หรือในโอกาส ต่าง ๆ เช่น ในงานฉลองชัยชนะเป็นต้นคณะนักร้องสมัครเล่นเหล่านี้มักจะจ้างพวกบาดส์ให้มา ดีดคีธารา (Kithara) คลอประกอบ |
3.
Archaic Period 700-550 B.C.ศิลปะส่วนใหญ่มีการ
เริ่มต้นขั้นพื้นฐานในช่วงสมัยนี้และได้มีการพัฒนาขึ้นในสมัยคลาสสิกเกิด
ความนิยมรูปแบบกวีนิพนธ์ที่เรียกว่า
“ลีริก” (Lyric) และการแสดงออกจากการระบายอารมณ์ในใจของกวี (Music
expressing
sentiments)ไม่ว่าจะเป็นความยินดี หรือ
ความทุกข์ระทมอันเกิดจากความรัก ความชัง
ความชื่นชมต่อความงามของฤดูใบไม้ผลิ
ความประทับใจในความงามของค่ำคืนในฤดูร้อนหรือความสำนึกส่วนตัวของกวีที่มี
ต่อสังคม
ต่อชาติรวมความแล้ว
กวีนิพนธ์แบบลีริก(Lyric)นี้เอื้อให้กวีได้แสดงความรู้สึกส่วนตนได้อย่าง
เต็มที่
การร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์
(Dithyramb)
เป็นเพลงที่ใช้บวงสรวงและเฉลิมฉลองให้แก่เทพเจ้าไดโอนิซุสซึ่งเป็นเทพเจ้า
แห่งความอุดมสมบูรณ์เป็นการขับร้องเพลงประสานเสียง
ที่มีต้นกำเนิดโดย
นักร้องชาย 12 คน ต่อมาได้มีการพัฒนาปรับปรุงโดย Arion
ได้เพิ่มจำนวนนักร้องเป็น
50 คนและกำหนดให้มีนักร้องนำ 1 คน
4.
Classical Period 550-440 B.C.โชไรเลส (Choeriles)
พีนีซุส
(Phrynichus)พาตินุส (Pratinas) และเธสพิส
(Thespis)ได้พัฒนาการร้องเพลงประกอบระบำที่เรียกว่าไดธีแรมบ์
(Dithyramb) กล่าวคือได้มีการร้องเพลง
โต้ตอบกับกลุ่มคอรัสทำให้การแสดงกลายรูปเป็นในลักษณะการสนทนาโต้ตอบกัน
แทนที่จะเป็นการเล่าเรื่องโดยการบรรยายอยู่ฝ่ายเดียว
พวกเขายังช่วยสร้างให้เกิดวัฒนธรรมของกรีกโบราณคือ การละคร (Drama)
เป็นรูปแบบการแสดงที่มีการผสมผสานศิลปะการเต้นรำและดนตรีเข้าด้วยกันได้
อย่างสมดุลย์
ในสมัยนี้ได้มีการสร้างโรงละครกลางแจ้ง
ตั้งอยู่ระหว่างซอกเขาที่มีเนินลาดโอบล้อมอยู่สามด้านเป็นอัฒจันทร์ที่นั่ง
คนดูซึ่งจุคนได้เป็นจำนวนมากและยังเห็นการแสดงได้ชัดเจนไม่มีการบังกัน
อัฒจันทร์คนดูนี้เซาะเป็นขั้นบันไดสูงขึ้นไปตามไหล่เขาที่ลาดชันโดยโอบล้อม
บริเวณที่ใช้แสดงเป็นพื้นที่ราบอยู่ต่ำลงไปเป็นรูปวงกลมหรือครึ่งวงกลม
ซึ่งเรียกบริเวณว่า ออร์เคสตรา (Orchestra)
ใช้เป็นที่แสดงของพวกคอรัสซึ่งยังคงความนิยมติดมากับการแสดง
[You must be registered and logged in to see this image.]
5.
Hellinistic Period 440-330
B.C.ลักษณะของการละครสมัยนี้เริ่มไม่ได้รับความนิยม
เนื่องจากว่ามีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ
เข้ามาซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการละคร
ในสมัยนี้ศิลปะและบทประพันธ์ร้อยกรองต่าง ๆ
มีการพัฒนาแยกออกจากดนตรีมีนักปราชญ์ทางดนตรีหลายคน
การค้นพบกฎพื้นฐานของเสียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาและคณิตศาสตร์
ซึ่งนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์นามกระเดื่องของกรีกคือ ไพธากอรัส
(Pythagoras)
เป็นผู้วาง กฎเกณฑ์ไว
โดยการทดลองเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนของเสียงจากความสั้น
- ยาวของสายที่ขึงไว้
ไพธากอรัสค้นพบวิธีที่จะสร้างระยะขั้นคู่เสียงต่าง
ๆ รวมทั้งระยะขั้นคู่ 8 ซึ่งเป็นหลักที่สำคัญของ
บันไดเสียงของดนตรีตะวันตก นักคิดรุ่นต่อ ๆ
มาได้พัฒนาทฤษฎีดนตรีของกรีกจนได้เป็นระบบที่สลับซับซ้อนที่รู้จักกันในนาม
ของโมด
(Mode)
ซึ่งได้แก่บันไดเสียงทางดนตรีที่ใช้ในการชักจูงให้ผู้ฟังมีความรู้สึกต่าง
ๆ กันออกไป
บันไดเสียงเหล่านี้จึงมีการใช้ในการสร้างสรรค์ดนตรีเฉพาะตามกรณี
จากโมดนี้เองชนชาติกรีกได้พัฒนาหลักการของอีธอส (Doctrine of
ethos)
ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่องของพลังแห่งสัจธรรมของดนตรีโดยกล่าวไว้ว่าพลังของ
ดนตรีมีผลเกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกถึงความชื่นชอบหรือความขัดแย้งกล่าวอีก
นัยหนึ่งคือ
ดนตรีเกี่ยวข้องกับความดีและความชั่วร้าย
โดยทั่วไปโมดสามารถจัดได้เป็นสองจำพวกคือ
โมดที่สื่อถึงความเงียบสงบ มีระเบียบ
ใช้กับพิธีกรรมของเทพเจ้าอพอลโลและโมดที่สื่อถึงความป่าเถื่อนอึกทึกครึก
โครมใช้กับพิธีกรรมของเทพเจ้าไดโอนีซัส
ผลสะท้อนของแนวคิดที่กล่าวถึงนี้ทำให้ดนตรีของกรีกมีทั้งการแสดงออกถึงความ
ซับซ้อนของท่วงทำนองจากการบรรเลงของเครื่องดนตรีล้วน
ๆ ในการแสดงเพื่อการแข่งขันหรือในงานฉลอง
ต่าง ๆ
และดนตรีที่แสดงออกถึงรูปแบบที่มีมาตรฐานซึ่งสัมพันธ์กับการบรรยายเรื่องราว
ตำนานของวีรบุรุษและการศึกษาสำหรับพวกสังคมชั้นสูงที่เต็มไปด้วยปรัชญาอัน
ลึกซึ้งในหนังสือ
Poetics นั้น อริสโตเติล (Aristotle)
ได้อธิบายว่าดนตรีมีอำนาจเหนือจิตใจมนุษย์อย่างไรบ้าง
เขากล่าวว่าดนตรีเลียนแบบอารมณ์ต่าง ๆ ของมนุษย์
ฉะนั้นเมื่อมนุษย์ได้ยินดนตรีซึ่งเลียนแบบอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
ก็จะเกิดมีความรู้สึกคล้อยตามไปด้วยทฤษฎีดนตรีกรีกของ Aristoxenus
กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของทฤษฎีดนตรีในปัจจุบันโดยได้เสนอผลงานระบบเสียงที่
เรียกว่า
เตตราคอร์ด (Tetrachord) 3 ชนิด คือ Diatonic, Chromatic, และ
Enharmonic
โดยเสียงที่อยู่ภายในคู่ 4 เพอร์เฟคจะถูกเรียกว่า Shade
ดังตัวอย่าง
[You must be registered and logged in to see this image.]
ถ้าได้ยินดนตรีที่กระตุ้นอารมณ์ที่ทำให้จิตใจต่ำบ่อย
ๆ
เข้าก็ทำให้เขาพลอยมีจิตใจต่ำไปด้วยตรงกันข้ามถ้ามีโอกาสได้ฟังดนตรีที่ช่วย
ยกระดับจิตใจก็จะทำให้ผู้นั้นเป็นคนที่มีจิตใจสูง
ดังนั้น เปลโตและอริสโตเติล
มีความคิดเห็นตรงกันในข้อที่ว่าหลักสูตรการศึกษาควรประกอบด้วยวิชากีฬาและ
ดนตรีที่ถูกต้อง
เพื่อเป็นการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจ เปลโตสอนว่า “การเรียนดนตรีอย่างเดียวทำให้อ่อนแอและเป็นคนมี
ปัญหา
การเรียนกีฬาอย่างเดียวทำให้เป็นคนที่อารมณ์ก้าวร้าวและไม่ฉลาด”
ยิ่งกว่านั้นเปลโตยังได้กำหนดไว้ว่า “ดนตรี
ที่เหมาะสมสำหรับการศึกษาไม่ควรมีลีลาที่ทำให้อารมณ์อ่อนไหวควรใช้ทำนองที่
มีลีลาดอเรียน(Dorian)และฟรีเจียน
(Phrygian)”
[You must be registered and logged in to see this image.]
บันไดเสียงทั้งสองข้างต้นทำให้เกิดอารมณ์กล้าหาญและ
สุภาพเรียบร้อย
เปลโตเชื่อว่าดนตรีมีอำนาจในการที่จะเปลี่ยนนิสัยของมนุษย์จนกระทั่งในบาง
กรณีสามารถรักษาโรคให้หายได้นี่คือทฤษฎีอีธอส
(Ethos) ของดนตรี เปลโตยังเคยกล่าวไว้ว่า
“จะให้ใครเป็นผู้เขียนกฎหมายก็แล้วแต่
ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นผู้แต่งเพลงประจำชาติก็แล้วกัน”
นี่หมายถึงว่า
กฎหมายเพียงแต่กำหนดขอบเขตความประพฤติของคนจากภายนอก
แต่อีธอสของดนตรีสามารถเข้าถึงจิตใจมนุษย์ และคุมนิสัยจากภายในได้
จากการศึกษาหลักฐานต่าง
ๆ สรุปได้ว่าดนตรีกรีกน่าจะเป็นดนตรีเน้นเสียงแนวเดียว (Monophonic
music)
กล่าวคือเน้นเฉพาะแนวทำนองโดยไม่มีแนวประสานเสียง
ทำให้โครงสร้างของทำนองมีความสลับซับซ้อน
ระยะขั้นคู่เสียงที่ใช้จะห่างกันน้อยกว่าครึ่งเสียงได้ซึ่งเป็นลักษณะที่
เรียกว่าไมโครโทน
(Microtones) ดนตรีกรีกมีหลายรูปแบบ นับตั้งแต่ดนตรีที่บรรเลง
ด้วยเครื่องดนตรีล้วน
ๆ ไม่มีการร้องไปจนถึงการร้องบทกวีแต่รูปแบบที่นับว่าสำคัญ ได้แก่
การร้องหมู่
ซึ่งพบได้ในละครของกรีก
ในระยะแรกการร้องหมู่ใช้ในการสรรเสริญพระเจ้าและวีรบุรุษซึ่งมักมีการเต้นรำ
ประกอบเพลงร้องด้วย
เครื่องดนตรีสมัยกรีก
[You must be registered and logged in to see this image.]
Credits : [You must be registered and logged in to see this link.]
Re: สมัยกรีก
ขอบคุนครับ
nangatobimaru- นักเรียนมาเฟีย
- โพสต์แล้ว : 63
Points : 66
เปลวเพลิง : 0
วันเกิด : 15/12/1993
เข้าร่วม : 28/06/2010
Age : 30
ที่อยู่ : อิตาลิ
อาชีพ : นักฆ่า
ชื่อเล่น : tora
Re: สมัยกรีก
อยากลองเล่นเครื่องดนตรีแบบนั้นมั้งจัง
elike2010- จบการศึกษามาเฟีย
- โพสต์แล้ว : 706
Points : 710
เปลวเพลิง : 4
วันเกิด : 13/10/1992
เข้าร่วม : 31/07/2010
Age : 32
ที่อยู่ : พเนจร
อาชีพ : นักฆ่าอันดับ 2
ชื่อเล่น : AnGle OF Death
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ